เราไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับประวัติการกำเนิดของพรม แต่จากหลักฐานทางโบราณคดีและการค้นพบต่างๆ ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าศิลปะต่างๆ เช่น การสานตะกร้า การทอเสื่อ การทำสักหลาด การทอพรมแบบพื้นเมืองเช่น “ซิลูบอฟี” “ญาญีม” และ “กิลิม” ถือเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่นำไปสู่การพัฒนาเป็นศิลปะการทอพรมที่แท้จริง โดยในยุคแรกเริ่ม พรมจะมีลวดลายที่เรียบง่าย มีลักษณะแตกมุมและเกิดจากจินตนาการ มุ่งเน้นที่การใช้สอยเป็นหลัก และพรมในปัจจุบันก็คือผลลัพธ์ของการพัฒนามาจากพรมยุคโบราณเหล่านั้น
เกี่ยวกับต้นกำเนิดของการทอพรม เดิมทีนักวิจัยเชื่อว่ามาจากอารยธรรมโบราณ เช่น อียิปต์ โดยเป็นข้อสันนิษฐานเชิงทฤษฎี แต่เมื่อมีการค้นพบ “พรมปาซีริก” ในปี 1949 โดยศาสตราจารย์รูเดนโก ทฤษฎีดังกล่าวก็เปลี่ยนไป การค้นพบเชิงประจักษ์นี้ย้ายต้นกำเนิดของการทอพรมจากริมฝั่งแม่น้ำไนล์ เด็จเลห์ และยูเฟรทีส ไปยังเอเชียกลาง และพิสูจน์ว่าแหล่งกำเนิดศิลปะการทอพรมคืออิหร่าน
สำหรับยุคจักรวรรดิซาสซาเนียน ข้อมูลมีอยู่อย่างจำกัด พรมที่มีชื่อเสียงในยุคนี้คือ “พรมบาฮาริสตาน” ซึ่งทอขึ้นเพื่อกษัตริย์โคสโร อานูชีรวาน ขนาดพรมประมาณ 450 x 90 ก้าว พรมผืนนี้แสดงถึงสี่ฤดูในลวดลาย และเมื่ออาหรับพิชิตเปอร์เซียได้ พรมนี้ก็ถูกส่งไปยังเมืองมะดีนะฮ์โดยแม่ทัพซะอ์ด และถูกตัดแบ่งออกเพื่อแจกจ่ายในหมู่ชาวมุสลิม
เมื่ออิสลามปรากฏขึ้น ด้วยหลักคำสอนที่เน้นความเรียบง่าย และการไม่ยึดติดในความหรูหรา ทำให้ศิลปะการทอพรมซบเซา แต่ต่อมาเมื่อราชวงศ์อับบาซียะห์ซึ่งให้ความสำคัญกับความงามและความหรูหราได้ขึ้นสู่อำนาจ การทอพรมก็กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ตามบันทึกของนักประวัติศาสตร์มัซอูดี คาลิฟะฮ์อัลมุสตันเซ็รแห่งราชวงศ์อับบาซียะห์เคยครอบครองพรมที่มีภาพบุคคลและจารึกภาษาเปอร์เซีย
ในหนังสือ “ฮุดูดุ้ลอาลัม” มีการกล่าวถึงพรมจากแคว้นซิสตานและบูคอรอ และพรมเปอร์เซียเล็กๆ ตามคำกล่าวของนักเดินทางชาวอาหรับชื่อ มุกัดดะซีย์ เมืองไกนาเต้เป็นที่รู้จักในการทอพรมปูนมาซ ยากูต อัลฮะมาวี นักประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 7 ได้กล่าวถึงพรมจากอาเซอร์ไบจาน และกวีชื่อดังคอฆานี ยังได้เอ่ยถึงพรมเมืองมารันด์ในบทกวีของเขา
ในบันทึกการเดินทางของอิบนุบาตูเตห์ เขาระบุว่า ระหว่างเดินทางจากเมืองโคร์มูซาไปยังอิสฟาฮาน เขาได้พบพรมสีเขียวปูตามทางในเมืองดีซัจและอีเซห์ ตามที่อิบนุค็อลดูนบันทึก พรมถือเป็นสินค้าส่งออกของแคว้นตะบาเรสตานและกีลาน โดยแคว้นตะบาเรสตานยังส่งพรมจำนวน 600 ผืนต่อปีเป็นภาษีให้กับราชสำนักแห่งแบกแดด
ในยุคตัยมูร์ ศิลปะการทอพรมได้รับการส่งเสริมโดยเฉพาะภายใต้การอุปถัมภ์ของชาห์รุค และอูซุน ฮะซัน ผู้ก่อตั้งราชวงศ์อักกอยุนลู แต่หากพิจารณาจากผลงานชั้นเยี่ยมที่หลงเหลือจากยุคซาฟาวี ก็จะเห็นว่า ยุคซาฟาวีคือยุคทองของการทอพรมในอิหร่าน
กษัตริย์ซาฟาวีอย่างชาห์ตะฮ์มาซได้รวบรวมช่างทอพรมและนักออกแบบไว้ในเมืองตับรีซ และให้การสนับสนุนพวกเขาอย่างมาก ส่วนในรัชสมัยของชาห์อับบาส ศิลปะนี้เจริญถึงขีดสุด พระองค์ได้ตั้งโรงงานทอพรมในเมืองอิสฟาฮาน รวมถึงสั่งสร้างโรงทอพรมในเมืองมัชฮัด กาชาน ชีรวาน เกเรฮ์บาฆ เอสเตอร์ออบอด์ และกีลาน พรมชื่อดังเช่นพรมอาร์เดบีลและเชลซีซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ระดับโลก ล้วนเป็นผลงานจากยุคนี้
หลังจากราชวงศ์กอญาร์ขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งตรงกับศตวรรษที่ 10-11 ตามปฏิทินอิสลาม ศิลปะการทอพรมของอิหร่านที่เคยรุ่งเรืองในยุคซาฟาวีเริ่มตกต่ำลง และไม่สามารถฟื้นคืนความรุ่งเรืองแบบเดิมได้อีกเลย