มักบาเราะตุชชุอารออ์ (สุสานกวี) เป็นหนึ่งในสุสานประวัติศาสตร์ของเมือง ตับรีซ ซึ่งตั้งอยู่ในย่าน ซัรค็อบ ปัจจุบัน มักบาเราะตุชชุอารออ์ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกถนน ซิเกาะตุ้ลอิสลาม ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของสุสาน ซัยยิด ฮัมซะฮ์ และสุสานของกออิม มะกอมและสุสานของมุลลาบาชีย์ [ผลงานนี้ได้รับการจดทะเบียนเป็นผลงานระดับชาติชิ้นหนึ่งของอิหร่านเมื่อวันที่ 18 อิสฟัน 1387 โดยมีหมายเลขทะเบียน 25191
สถานศักดิ์สิทธิ์ เมะห์ร มารอเกะห์ หรือ สถานที่วิงวอน เมะห์รีย์ แห่ง มารอเกะห์ ซึ่งได้รับการจดทะเบียนภายใต้ชื่อสถานที่วิงวอน เมะห์รีย์ เมื่อวันที่ 19 เดย์ 1356 โดยมีหมายเลขทะเบียน 1556 ซึ่งเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานแห่งชาติของอิหร่าน ซึ่งถือได้ว่า เป็นหนึ่งในสถานที่อยู่อาศัยและสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ อาคารเก่าแก่แห่งนี้ถือเป็นของสมัย Parthian และเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมแห่งความรัก ชาวบ้านในพื้นที่ เรียกสถานที่แห่งนี้ว่าเช่น อิมามซอเดะห์มะอ์ศูมมารอเกะอีย์ คอนกอฮ์ อุญ็อก และ เอาลิยาอ์ และมีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา สุสาน คอกสัตว์ และมีพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งดูเหมือนเป็นสุสานที่อยู่ในยุคเหล็ก สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาแห่งนี้ตั้งอยู่ใต้สุสานเก่าแก่และบางส่วนได้รับการค้นพบจากการขุดค้น แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ใต้ดิน
อาคาร โมซัฟฟัร หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ มัสยิดสีน้ำเงิน หรือ มัสยิด ญะฮอนชาห์ เป็นหนึ่งในมัสยิดเก่าแก่ของ ตับรีซ ที่มีอายุย้อนกลับไปถึงการปกครองของ Qaraqoyunluh ในศตวรรษที่ 9 ของฮิจเราะห์ Madame Jean Delaufoy วิศวกรโยธาและนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสที่เดินทางไปอิหร่านกับสามีของเธอในนามของรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อทำการขุดค้นทางโบราณคดี เธอได้กล่าวถึงชื่อมัสยิดสีน้ำเงินแห่งตับรีซในหนังสือภาษาฝรั่งเศสชื่อว่า La Mosquée bleue de Tauris ของเธอ
มัสยิด ศอฮิบุ้ลอัมร์ หรือ มัสยิด ชาห์ตะห์มาสที่ 1 เป็นหนึ่งในมัสยิดที่โบราณและเก่าแก่ของเมืองตับรีซ ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองตั้งอยู่ที่จัตุรัส ศอฮิบ ออบอด ของเมืองตับรีซ อาคารหลังนี้ก่อตั้งโดยพระเจ้าชาห์ตะห์มาสที่ 1 เป็นของพระองค์ตั้งแต่แรกเริ่ม อาคารศอฮิบุ้ลอัมร์ เป็นของยุค ซะฟาวิด ตั้งอยู่ในเมืองตับรีซ สุดถนนดอรอีย์ ถนนชิกรีย์ ผลงานชิ้นนี้ ได้รับการจดทะเบียนเป็นหนึ่งในผลงานระดับชาติของอิหร่านเมื่อวันที่ 10 เมะหร์ 1380 ด้วย ทะเบียนเลขที่ 4196
มัสยิดกลาง มารันด์ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง มารันด์ ตามคำจารึกบนซุ้มละหมาดของมัสยิด อาคารนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 731 ฮ.ศ. ในรัชสมัยของ อบูซะอีด บะฮาเด็ร ข่าน ซุ้มละหมาดตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมัสยิด ตกแต่งด้วยโองการกุรอานที่เป็นอักษรกูฟีย์และปูนปลาสเตอร์ดั้งเดิม ปัจจุบัน พื้นมัสยิดอยู่ต่ำกว่าระดับถนนที่อยู่ติดกัน 3 ขั้น มีทางเดินยาว 12 เมตรที่มีโดมโค้ง 3 อันเชื่อมต่อทางเข้าไปยังห้องโถง ทางด้านซ้ายของทางเดินนี้จะเป็นห้องโถงทิศใต้ที่มีโดมทรงเตี้ยตั้งอยู่
มารอเกะห์ เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ2 ของมณฑลอาเซอร์ไบจานตะวันออก เป็นศูนย์กลางการปกครองของเขตผู้ว่าการพิเศษของเมืองมารอเกะห์ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำ ซูฟีย์ช็อย ทางลาดด้านทิศใต้ของภูเขา Sahand และห่างจากศูนย์กลางของมณฑลไปทางใต้ 135 กม มารอเกะห์ เป็นที่รู้จักในนามของสวนเมืองของอิหร่าน และ เป็นเมืองหลวงทางดาราศาสตร์ของอิหร่าน เป็นหนึ่งในสิบเมืองประวัติศาสตร์ของอิหร่าน ทุกปี นักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวอิหร่านจำนวนมากจะเดินทางมาที่มารอเกะห์ ตามที่แพทย์และหัวหน้าสภาเมือง Behzad Rahmatzadeh กล่าว มารอเกะห์ เปรียบเสมือนสวรรค์ที่สอง มาราเกห์เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของมณฑลอาเซอร์ไบจานตะวันออก โดยมีพื้นที่สีเขียวและสวนมากมายในเมือง รวมถึงแม่น้ำ ซูฟีย์ช็อย ที่สวยงามที่ไหลผ่านใจกลางเมือง มารอเกะห์ ยังเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองของอาเซอร์ไบจานรองจาก อุรูมีเยะห์ ศตวรรษที่ 12 ถึง 14 เป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรือง เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ท้องถิ่นหลายราชวงศ์ ไม่ว่าจะเป็น Ahmadilian และ Atabakan ของอาเซอร์ไบจาน สุดท้ายก็ถูกจัดให้เป็นศูนย์กลางการปกครองของ อิลคาเนต มารอเกะห์ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 10 เมืองชั้นนำของประเทศในแง่ของบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนาน โดยมีผลงานที่ได้รับการจดทะเบียนระดับประเทศมากกว่า 300 ชิ้น หอดูดาว มารอเกะห์ สร้างขึ้นในยุคของ คอเญะห์ […]
โรงอาบน้ำ โกรดัชต์ เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน โกรดัชต์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองญุลฟา อาคารหลังนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศนับพันคนทุกปี หมู่บ้าน โกรดัชต์ เป็นส่วนหนึ่งของเขตซิยะห์รูดของเมืองญุลฟา หมู่บ้านและโรงอาบน้ำโกรดัชต์แห่งนี้ ตั้งอยู่ฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำ Aras ทอดยาวไปตามแม่น้ำจากตะวันตกไปตะวันออก สภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลางโดยมีฤดูหนาวที่ไม่รุนแรงและฤดูร้อนที่ร้อนจัด ล้อมรอบด้วยภูเขาของประเทศอาร์เมเนียทางตอนเหนือและภูเขากัมทอนทางตอนใต้ และตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกของเมืองญุลฟา ในอดีตหมู่บ้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Dizmar Arsbaran (Kharwana) และในปี 1372 ได้ถูกแยกออกจาก Kharwana พร้อมกับหมู่บ้าน Siyari (ซิยะห์รูด) และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตซิยะห์รูด ของเมือง Jolfa
ในภูมิภาคหนึ่งมีบ้านพักที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามและน่าทึ่งบนเนินเขามิชู มารันด์ ซึ่งในภาษากลางรู้จักกันในชื่อบ้านพัก ชาห์ อับบาซี ในหนังสือประวัติศาสตร์เรียก อาคารเก่าแก่ขนาดใหญ่แห่งนี้ว่า บ้านพัก อิลคานีย์ ญ็อม์ เนื่องจากทำเลที่ตั้งอยู่บนถนนทางผ่านจากอิหร่านไปยังยุโรปและบนเส้นทางสายไหม บ้านพักแห่งนี้จึงดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และเป็นหนึ่งในอาคารสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญที่สุดบนเส้นทางสายไหมในยุคต่างๆของประวัติศาสตร์ บ้านพัก ญ็อม์ ถือว่า เป็นบ้านพักที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ และเป็นหนึ่งในอาคารทางประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดในประเทศ มีการจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกสบายทั้งหมดและการบูรณะขั้นพื้นฐานในบ้านพักนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
บ้านพักสำหรับนักเดินทางชื่อ คอเญะห์ นาซัร เป็นของยุค Safavid ตั้งอยู่ในเมือง ญุลฟา ใกล้กับแม่น้ำ Aras และสะพาน Zia-ul-Mulk ผลงานนี้ได้รับการจดทะเบียนเป็นหนึ่งในผลงานระดับชาติของอิหร่านเมื่อวันที่ 17 อิสฟัน 1381 ด้วย ทะเบียนหมายเลข 7744
หลุมฝังศพของ เชค ชะฮาบุดดีน อะห์รีย์ มีอายุย้อนไปถึงยุค Safavid ตอนต้น ตั้งอยู่ใน อาห์ร มณฑล อาเซอร์ไบจานตะวันออก บนถนน เชค ชะฮาบ ผลงานนี้ได้รับการจดทะเบียนเป็นหนึ่งในผลงานระดับชาติของอิหร่านเมื่อวันที่ 18 ทีร 1311 โดยมีหมายเลขทะเบียน 179 สุสานแห่งนี้เป็นที่ตั้งของอารามและหลุมฝังศพของเชค ชะฮาบุดดีน อะห์รีย์ ซึ่งรวมถึง มัสยิด ระเบียงยาว หอคอยมัสยิด และห้องจำนวนหนึ่ง อารามแห่งนี้ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งวรรณกรรมและรหัสยะมาตั้งแต่ปี 1374 ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งรหัสยะเพียงแห่งเดียวในอิหร่าน